จากนักดนตรี สู่โค้ชดีกรีโปรไลเซนส์

"ผมไม่เคยรู้เลย ว่าตัวเองพูดภาษาอังกฤษได้"
“เขาเรียกผมเข้าไปคุยในห้อง ผมบอกว่าผมต้องการล่าม เขาบอกว่ายูไม่ต้องใช้ล่าม ผมบอกเขาว่าผมพูดภาษาอังกฤษไม่ได้นะ เขาบอกว่าก็ยูคุยกับไออยู่นี่ไง ก็ภาษาอังกฤษไม่ใช่เหรอ”
หลังจากเหตุการณ์ในวันนั้นชีวิตของผมก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป นี่คือจุดเปลี่ยนที่สำคัญในชีวิตของผม
"โค้ชชุ่ม" ชยกร ถนัดเดินข่าว ผู้ฝึกสอนฟุตบอลระดับ AFC โปรไลเซนส์ ในวัย 37 ปี
"ผมเล่าเรื่องนี้ ให้คนอื่นฟังมาไม่รู้กี่รอบแล้ว ผมไม่เคยเบื่อเลย"
ซึ่งมันคงเป็นเช่นนั้นจริงๆ เมื่อดูจากสีหน้าและแววตาอันเป็นประกายของเขาเมื่อเล่าถึงความหลัง
รู้จักกับโค้ชชุ่ม
โค้ชหนุ่ม รูปร่างสูงใหญ่ มาดเท่ มีลุคแบดบอยหน่อยๆ บุคลิกฉีกแนวแตกต่างจากโค้ชไทยคนอื่นๆ อย่างเห็นได้ชัด
ชื่อชุ่ม ฟังดูแปลกหู ซึ่งโค้ชบอกว่าเป็นชื่อที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดจริงๆ โดยที่คุณย่าเป็นคนตั้งให้ ไม่ได้เพี้ยนมาจากคำไหนหรือเป็นชื่อที่เพื่อนเรียกแต่อย่างใด
ในวัยเด็ก โค้ชชุ่มเติบโตมากับครอบครัวฟุตบอลขนานแท้ คุณพ่อของโค้ชชุ่ม เป็นอดีตนักฟุตบอลเก่า และเคยมีชื่อติดทีมชาติไทยอยู่ในช่วงเวลาหนึ่งด้วย หลังจากเลิกเล่น คุณพ่อก็ผันตัวไปเป็นผู้ตัดสินระดับฟีฟ่าและทำหน้าที่นี้อยู่หลายปี โดยถือเป็นหนึ่งในเชิ้ตดำมือต้นๆ ของเมืองไทยเลยทีเดียว แม้ภายหลังจะแขวนนกหวีดไปแล้ว
คุณพ่อ ก็ยังมีงานอยู่ในวงการฟุตบอลอยู่เรื่อยๆ เช่น ยังคงไปเป็นผู้ควบคุมการแข่งขัน หรือแมตช์คอมฯ อยู่บ้าง ดังนั้นจึงอดไม่ได้ ที่โค้ชชุ่ม จะได้ซึมซับชีวิตในวงการฟุตบอลมาตั้งแต่เด็กๆ ทั้งทันเห็นตอนคุณพ่อยังเล่น และติดตามคุณพ่อไปดูการแข่งขันต่างๆ บางทีฟุตบอลมันอาจจะอยู่ในสายเลือดของเขาไปแล้วก็เป็นได้
ด้วยความเป็นอดีตนักฟุตบอลของคุณพ่อ โค้ชชุ่มฝึกฟุตบอลตั้งแต่เด็กๆ จนมีทักษะและฝีเท้าที่ดีพอสมควร ได้ติดทีมโรงเรียนไปแข่งขันในทุกระดับ ในเส้นทางชีวิตที่ดูชัดเจน เส้นทางสู่นักเตะอาชีพในอนาคต ไม่หนีไปไหนแน่ๆ
จากฟุตบอลสู่โลกแห่งดนตรี
แต่แล้วในช่วงชีวิตวัยรุ่น ช่วงที่เรียกว่าเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิต ตัวเขาเริ่มหมดไฟกับการเล่นฟุตบอล ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่ เสียงเพลงและท่วงทำนองของดนตรี ก้าวเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเขา
เขารักสิ่งนี้และเต็มที่กับมัน เป้าหมายในชีวิตเปลี่ยนไป เขาเริ่มถอยห่างจากการเรียนและฟุตบอลทีละนิดทีละนิด นานวันเข้ายิ่งห่างมากขึ้นเรื่อยๆ จนวันนึงก็แยกจากกันเด็ดขาดเหมือนเส้นขนาน ในตอนนี้เขาเป็นนักดนตรีเต็มตัวแล้ว..
ตอนเล่นฟุตบอล เขายืนเป็นกองหลัง แต่ในวงดนตรี เขาอยู่ข้างหลังเหมือนกันแต่เป็นตำแหน่งมือกลอง จากที่เล่นเพื่อความสนุกและใจรัก ดนตรีกลายมาเป็นอาชีพ ที่เขาใช้หาเลี้ยงตัวเอง
กว่าสิบปี.. เสียงดนตรีที่เริ่มจืดจาง
เวลาผ่านไปเรื่อยๆ จาก 1 กลายเป็น 2 จาก 2 กลายเป็น 3 ตอนนี้เวลาล่วงเลยมา 10 ปีแล้ว เแต่เขาก็ยังคงอยู่ที่เดิม คืนแล้วคืนเล่า เขาตีกลองด้วยจังหวะเดิมๆ เพลงเดิมๆ เหมือนตีไปวันๆ
ในเมื่อเพลงเก่ายังคงขายได้ คนยังฟัง คนก็ยังขอให้เล่นแต่เพลงเดิมๆ อยู่แบบนั้น ซึ่งเขามองว่า ในเมื่อดนตรีเป็นศิลปะ แต่ถูกจำกัดให้อยู่ในกรอบ เขาเริ่มไม่มีความสุขกับมัน เขารู้สึกหมดไฟ จึงอยากลองไปทำอย่างอื่นบ้าง
เมื่อกลางคืนเล่นดนตรี กลางวันจึงมีเวลาว่าง เขาได้ทำอะไรหลายอย่างมาก เช่น ขายก๋วยเตี๋ยวเรือ เปิดร้านเหล้า ขายกระเป๋า เรียกว่าลองมาแล้วหลากหลายอาชีพ แต่ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ
ในวันที่ชีวิตเคว้งคว้าง สมองว่างเปล่า โชคยังดีที่เขายังมีอีกสิ่งหนึ่งที่เขารัก ที่เขาหลงลืมมันไป แม้ว่าเขาจะพยายามหนีจากมัน แต่มันไม่เคยหนีจากเขา มันยังคงวนเวียนอยู่ในชีวิตเขา เพียงแต่เขาไม่ได้สนใจมัน ฟุตบอลเคลื่อนที่อยู่รอบตัวเขามาตลอด เขามีโอกาสได้แวะไปดูการแข่งขันเองบ้าง ติดตามคุณพ่อไปบ้าง และติดตามข่าวสารอยู่เป็นประจำ
กลับสู่โลกของฟุตบอล
เขาตัดสินใจหวนคืนวงการฟุตบอลอีกครั้งในวัย 28 ปี แรกเริ่มอยากจะเป็นเอเย่นต์ แต่เมื่อเรียนไม่จบปริญญาตรี จึงไม่สามารถไปสอบได้ จนมีวันหนึ่งคุณพ่อถามว่าอยากเรียนโค้ชมั้ย สมาคมฟุตบอลกำลังเปิดรับสมัครอยู่ เขาจึงสนใจและลองไปสมัครอบรมดู ซึ่งเป็นการอบรมโค้ชในระดับเริ่มต้นคือ C-ไลเซนส์
เมื่อได้ลองเรียนจริงจัง เขารู้สึกว่าตัวเองทำได้นี่ และยังทำได้ดีอีกด้วย หลังจบการอบรม มีความคิดโผล่ขึ้นมาในหัวว่า
“ตัวเองก็ยังอายุไม่เยอะนะ ยังดูแลร่างกายอยู่ตลอด อยากกลับไปเล่นฟุตบอล”
จึงตัดสินใจลองไปคัดตัวกับทีม ระดับดิวิชั่น 2 ดู และได้เข้าทีมในที่สุด
จริงๆแล้วฝีเท้าและทรงบอลของเขายังได้อยู่ แต่สิ่งที่เขารู้สึกได้คือ ด้วยอายุและห่างเกมส์ไปนาน เขาวิ่งไล่กวดเด็กรุ่นหลังๆ ไม่ทันแล้ว
"จังหวะต่างๆมันช้าไปหมด จึงรู้สึกว่าคงไปต่อไม่ได้ในเส้นทางนักเตะอาชีพ มันอาจจะสายเกินไปแล้ว"
จากการที่เพิ่งผ่านการอบรมโค้ชมา จึงได้มีโอกาสเริ่มต้นลองงานโค้ชครั้งแรกกับทีมในระดับดิวิชั่น 2 ในตำแหน่งผู้ช่วยโค้ช โดยระหว่างนั้นก็เรียนโค้ช ในระดับที่สูงขึ้นไปเรื่อยๆ จาก C-ไลเซนส์ จนถึงระดับสูงสุดคือ “โปรไลเซนส์”
เขาใช้เวลาทั้งหมดเพียงไม่กี่ปีจากจุดเริ่มต้น โดยในระหว่างอบรมโค้ชในระดับต่างๆ ก็ถือเป็นอีกหนึ่งโอกาสให้ได้เก็บเกี่ยวความรู้แบบครูพักลักจำ จากโค้ชคนอื่นๆ ที่มาอบรมด้วยกัน ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่เป็นโค้ชชั้นนำ เบอร์ต้นๆ ของเมืองไทยแทบทั้งสิ้น อาทิเช่น โค้ชไทยที่เขายกเป็นหนึ่งในต้นแบบคนหนึ่งคือ “โค้ชเตี้ย สะสม พบประเสริฐ” กุนซือฝีปากกล้า เจ้าของฉายา มูรินโญ เมืองไทย
โค้ชชุ่มเล่าให้ฟังว่า
"ไม่ว่าภายนอกคนจะมองโค้ชเตี้ยอย่างไร แต่เมื่อผมได้สัมผัสใกล้ชิด ก็ได้พบว่า นี่คือโค้ชที่เก่งมากๆ ในเรื่องการจัดการ โดยเฉพาะการปกครองคน มีความเป็นผู้นำ"
"ไม่แปลกใจเลยว่าทุกทีมที่โค้ชเตี้ยคุม เด็กๆ จะวิ่งกันลืมตาย"
ซึ่งเขาก็อดไม่ได้ที่จะนำวิธีการต่างๆ มาปรับใช้ต่อไป
จุดเปลี่ยนที่สำคัญ จากคำพูดของเดนนิส อมาโต้
ในระหว่างนี้ ไม่ว่ามีที่ไหนเปิดอบรม ตัวเขาเองก็สมัครเข้าอบรมอย่างสม่ำเสมอเท่าที่โอกาสจะอำนวย ซึ่งหนึ่งในนั้น มีการจัดอบรมของภาคเอกชนรายหนึ่งที่ได้รับสิทธิ์ อบรมหลักสูตรฟุตบอลส่งตรง มาจากประเทศเยอรมัน ในนามสโมสรบาเยิร์น มิวนิค นั่นก็คือ สปอร์ตไทย บาวาเรีย หรือ STB
"ผมไม่เคยรู้เลย ว่าตัวเองพูดภาษาอังกฤษได้"
ซึ่งคนที่บอกว่าผมพูดได้ คือ เดนนิส อมาโต้ (อดีตเฮดโค้ช ชัยนาท , สุโขทัย และอีกหลายทีมในประเทศไทย) ซึ่งเวลานั้นเข้ามาพร้อมทีมงานอีกหลายชีวิตจากเยอรมัน
หลังจากเดินออกมาจากห้องของเดนนิส ในวันนั้น เขาก็ได้กลายมาเป็นผู้ช่วยโค้ชและล่ามของเดนนิส รวมทั้งยังช่วยเป็นล่ามให้กับโค้ชชาวเยอรมันอีกหลายคน ที่เดินทางเข้ามาทำงานกับ STB ในขณะนั้น
การเดินทางในสายโค้ชฟุตบอลอย่างเต็มตัว
เมื่อได้เข้าไปอยู่ในสังกัดของ STB เต็มตัวแล้ว ก็ได้รับการสนับสนุน ส่งไปฝึกอบรมและดูงานตามสถานที่ต่างๆมากมาย เพื่อเพิ่มองค์ความรู้ในเรื่องของฟุตบอลและการจัดการตามมาตรฐานยุโรป เช่น การไปดูงานที่บาเยิร์น มิวนิค เป็นต้น ซึ่งมันเปิดโลกให้กับเขามากเลยทีเดียว
เมื่อออกจาก STB โค้ชชุ่ม รับงานโค้ชไปเรื่อยๆ ตามแต่โอกาสที่เข้ามาและตามวิถีทางของฟุตบอล จนวันหนึ่งได้รับการติดต่อให้เข้ามาทำงานกับสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย โค้ชชุ่มตอบตกลงแบบไม่ลังเล เพราะถือว่าเป็นโอกาสครั้งสำคัญของตนเองที่น่าจะมีโอกาสได้ใช้ความรู้ ความสามารถ ในการมีส่วนช่วยพัฒนาและยกระดับฟุตบอลไทย
บทบาทโค้ชทีมชาติไทยชุดเยาวชน
โค้ชชุ่มถือว่ามีผลงานกับทีมชาติไทยในระดับเยาวชน หลายต่อหลายชุด เช่นในช่วงเวลาที่ เอคโคโน่ เข้ามาทำงานร่วมกับสมาคม เจ้าตัวได้มีโอกาสเข้าไปทำงานร่วมกับเอคโคโน่ ซึ่งตลอดช่วงเวลาที่ได้ทำงานร่วมกันนั้น ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า เอคโคโน่ ให้องค์ความรู้ทุกๆด้านกับโค้ชชุ่ม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การได้ทำงานใกล้ชิดกับ การ์เลส โรมาโกซ่า ประธานพัฒนาเทคนิคฯ ชาวสเปน ในช่วงนั้น ยิ่งยกระดับความรู้ในตัวโค้ชชุ่มแบบก้าวกระโดดเลยทีเดียว
อีกหนึ่งผลงานที่โดดเด่นและเริ่มเป็นที่รู้จักของแฟนฟุตบอล คือการทำงานกับทีมชาติไทย ชุดยู 17 ตั้งแต่บทบาทผู้ช่วยจนก้าวไปถึงตำแหน่ง หัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมชาติ ชุดยู 17 ก่อนจะส่งต่อมาที่ เซอร์เด็จ จเด็จ มีลาภ ในปัจจุบัน ซึ่งตัวโค้ชชุ่ม ถือว่ามีส่วนฟูมฟักเยาวชนชุดนี้ขึ้นมากับมือ
ร่วมสร้างอนาคตฟุตบอลไทย
โค้ชชุ่มยังมีอีกบทบาทสำคัญเมื่อได้รับมอบหมายภารกิจในการค้นหาและคัดเลือกเยาวชน เพื่อผลิตและป้อนนักฟุตบอลเข้าสู่ทีมชาติไทย โดยฟีฟ่าได้สนับสนุนงบประมาณให้กับสมาคมฟุตบอลมาก้อนหนึ่ง เพื่อจัดทำโครงการ ในชื่อว่า FAT Talent ID ซึ่งเป็นอีกหนึ่งผลงานที่โค้ชชุ่มภาคภูมิใจ
ปัจจุบันโค้ชชุ่ม ยังคงทำงานในฝ่ายเทคนิคของสมาคม ทำหน้าที่วิทยากรและจัดการฝึกอบรม โดยมีตำแหน่งเป็น Head of Youth Development ของสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย
ซึ่งถือว่าเป็นส่วนหนึ่งในฟันเฟืองที่สำคัญในการสร้างรากฐานฟุตบอลในระดับเยาวชน หรือ Grassroots เพื่อช่วยวางโครงสร้างระยะยาวให้กับวงการฟุตบอลไทยในอนาคต โดยการเพิ่มจำนวนประชากรนักฟุตบอล ตลอดจนเพิ่มบุคลากรในวงการฟุตบอลให้เพิ่มมากขึ้น เพื่อยกระดับและพัฒนาวงการฟุตบอลไทยของเราให้ยั่งยืน
และที่ลืมไม่ได้เลยถ้ามีเวลา โค้ชชุ่มยังใช้ช่องทางโซเชียลมีเดียต่างๆ ในการให้ความรู้ด้านฟุตบอล เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้ที่ตัวเองมีให้กับผู้อื่น ซึ่งโค้ชชุ่มคิดว่า
"ไม่ใช่ทุกคนที่จะโชคดี และได้รับโอกาสแบบผม ดังนั้นเมื่อได้รับโอกาสนั้นมาแล้ว ผมจึงอยากที่จะแบ่งปันส่งต่อให้คนอื่นบ้าง"
อย่างน้อยก็เพื่อช่วยกันนำไปต่อยอดและพัฒนาวงการฟุตบอลไทยให้ดียิ่งขึ้นต่อไป
ติดตามข่าวสารและความเคลื่อนไหว และให้กำลังโค้ชชุ่มได้ทาง Youtube และ Facebook
Youtube: @เปิดบอล
https://www.youtube.com/@%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0...
Facebook: Perdball
https://www.facebook.com/perdball