อัศวินม้า “ไม้” หอกแห่ง Schwaben Augsburg

อชิตพล คีรีรมย์ อัศวินม้า “ไม้” หอกแห่ง Schwaben Augsburg
ในห้วงเวลาแห่งการถกเถียงถึงแนวทางของทีมชาติไทย ว่าสรุปแล้วเราจะเดินไปในทิศทางไหนกันแน่บ้างก็ว่า ลองใช้ตัวโอนสัญชาติแบบ เหงียน ซวน เซิน ของเวียดนามสิ เห็นผลทันตา แต่แนวทางนี้ก็ยังมีคนไม่เห็นด้วยอยู่มาก
บ้างก็ว่า แนวทางดัตช์เวย์ ของทีมชาติอินโดนีเซีย ที่กำลังมาแรงในตอนนี้สิ แต่แนวคิดนี้ก็ใช้กับทีมชาติไทยไม่ได้เช่นกัน ด้วยบริบทที่แตกต่างกันอยู่หลายประการ
สุดท้ายก็วกกลับมาที่แนวทางที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน คือการเดินหน้าค้นหานักเตะลูกครึ่งไทยฝีเท้าดี ที่ค้าแข้งอยู่ในต่างแดน เพื่อติดต่อดึงตัวกลับมาช่วยยกระดับให้กับทัพช้างศึก
ถ้าอยากจะประสบความสำเร็จในระยะยาวแล้ว ทุกฝ่ายน่าจะเห็นตรงกันว่า นอกจากลีกในประเทศต้องแข็งแกร่ง เพื่อที่จะสามารถผลิตทรัพยากรนักเตะที่มีคุณภาพ ป้อนให้กับทีมชาติไทยแล้ว อีกทางหนึ่งที่ต้องทำควบคู่กันไป คือการมีนักเตะไทยไปฝังตัวค้าแข้งอยู่ในต่างประเทศ แบบที่ญี่ปุ่นกำลังทำอยู่ เพื่อที่พวกเขาเหล่านั้น จะมีโอกาสพัฒนาฝีเท้า และนำประสบการณ์ต่างๆ ที่ได้รับกลับมาช่วยทีมชาติไทยของเราต่อไป
แน่นอนว่า เมื่อความถูกต้องมันต้องแลกมาด้วยระยะเวลา โมเดลนี้ กว่าจะสำเร็จจนผลิดอกออกผล คงใช้เวลานับสิบปี แล้วเราจะรอกันได้ไหม แต่ถ้ายังไม่เริ่มต้นทำกันตั้งแต่วันนี้ แล้วความสำเร็จในอีกสิบยี่สิบปีข้างหน้าจะเกิดขึ้นได้อย่างไร..
ที่จริงแล้ว เราก็มีนักเตะที่ไปฝังตัวในต่างแดนตั้งแต่เด็กๆ แบบนี้อยู่บ้างเหมือนกัน เพียงแต่ยังมีจำนวนที่น้อยจนเกินไป ซึ่ง 1 ในเด็กไทยที่ไปใช้ชีวิตในต่างประเทศเพื่อฝึกฟุตบอลโดยเฉพาะเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ในตอนนี้เขาโตเป็นหนุ่มแล้ว ตอนนี้ชีวิตเขาเป็นอย่างไร จะกลับมาค้าแข้งที่เมืองไทยมั้ย และมีข้อคิดอะไรจะฝากถึงนักเตะเยาวชนที่อาจจะอยากเดินตามรอยเท้าเขาบ้าง มาติดตามเรื่องราวของเขาไปด้วยกัน...
ทีมงาน Off The Bench มีโอกาสสัมภาษณ์ “ไม้ อชิตพล คีรีรมย์” ตั้งแต่ชีวิตในวัยเยาว์ เรื่องราวในต่างแดน และอัพเดทสถานการณ์ค้าแข้งของไม้ในปัจจุบันและอนาคตมาให้ทุกท่านได้ติดตามกันครับ
วางแร็คเก็ต มาสวมสตั๊ด
ชีวิตนักกีฬาของ “ไม้ อชิตพล” ในวัยเด็ก เริ่มต้นจากกีฬาเทนนิส ซึ่งเขาทำได้ดีพอสมควร แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าชอบ จนเมื่อได้มาลองเตะฟุตบอลที่โรงเรียนแล้วรู้สึกว่า ตนเองนั้นชอบในกีฬาลูกหนังมากกว่า จึงไปขอเข้าชมรมฟุตบอลของโรงเรียน

หลังจากนั้นเมื่อครอบครัวเห็นว่า ไม้ ชอบฟุตบอลจริงๆ ก็พาไม้ไปฝึกกับ อาจารย์ มานิตย์ สุขสุภาพ ผู้ก่อตั้ง เรือจ้าง อะคาเดมี่ ที่บ่มเพาะสร้างนักเตะเยาวชนฝีเท้าดีมาแล้วมากมาย จน ไม้ ฝีเท้าพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว ชีวิตวัยเรียนของไม้ ย้ายไปมาระหว่างโรงเรียนอัสสัมชัญและกรุงเทพคริสเตียน สองสถานศึกษาที่ขึ้นชื่อในเชิงลูกหนัง ไม้ จึงมีโอกาสได้เล่นให้กับทั้งสองสถาบัน ในการแข่งขันรายการต่างๆ เช่น ฟุตบอลกรมพละศึกษา เป็นต้น

จริงจังแค่ไหน แค่ไหนเรียกจริงจัง
เมื่อคุณมีลูกชายคนเดียว และเขาอายุเพิ่งจะ 13-14 ปีเท่านั้น แล้วลูกของคุณเดินมาปรึกษากับคุณว่า เขาอยากไปฝึกฟุตบอลอย่างจริงจังที่ต่างประเทศ คุณจะทำเช่นไร?
จุดเริ่มต้นของความคิดนี้ ต้องย้อนกลับไปเมื่อ ไม้ อชิตพล เคยได้รับโอกาสในการไปฝึกซ้อมกับสโมสรชั้นนำในยุโรปทั้งในอังกฤษกับสโมสรเอฟเวอร์ตัน ในโครงการของช้าง รวมทั้งได้ไปตระเวนฝึกซ้อมช่วงสั้นๆ เป็นระยะเวลาประมาณ 3 เดือน ที่ประเทศโปรตุเกส กับหลายสโมสรชั้นนำของที่นั่น เช่น เบนฟิก้า และ สปอร์ติ้ง บราก้า ซึ่งระหว่างฝึกซ้อม ไม้ สามารถทำได้ดี จนคว้ารางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำสัปดาห์ได้อีกด้วย (ถ้วยรางวัลของรุย คอสต้า อดีตนักเตะชื่อดังของทีมชาติโปรตุเกส)

นอกจากนี้โค้ชของบราก้า ยังแสดงความสนใจในตัวของ ไม้ แต่ ณ ตอนนั้น ไม้ยังเด็กเกินไป และติดปัญหาในเรื่องวีซ่าอีกด้วย ช่วงเวลาที่โปรตุเกส ทำให้ ไม้ รู้สึกว่า เหมือนเป็นการจุดประกายความคิดของเขา ว่าทำไมไม่เห็นมีนักเตะไทยมาเล่นอยู่ในยุโรปบ้างเลย จึงเริ่มรู้สึกท้าท้ายตัวเอง อยากลองดู ว่าแล้วถ้าเป็นตัวเขาเองล่ะ จะทำได้มั้ย นั่นทำให้ ไม้ มีแรงบันดาลใจ เริ่มคิดจริงจัง ถึงการมาฝึกฟุตบอลในต่างแดน และเดินเข้าไปคุยถึงความเป็นไปได้ในเรื่องนี้กับครอบครัวในที่สุด
ชีวิตใหม่ในเมืองเบียร์
ในปีนั้น เป็นช่วงเวลาที่ทีมชาติเยอรมัน เพิ่งได้แชมป์ฟุตบอลโลก 2014 ดังนั้นถ้าคุณอยากจะเอาดีด้านฟุตบอล จะมีประเทศไหนในตอนนั้นเก่งไปกว่า แชมป์โลก ครอบครัวของไม้มีโอกาสไปเที่ยวที่เยอรมัน และโชคดีที่คุณแม่ ได้ข้อมูลของ DFI (Deutsche Fussball Internat) ซึ่งเป็นสถาบันฝึกฟุตบอลเอกชนชั้นนำในเยอรมัน ซึ่งมีการเรียนควบคู่ไปกับการฝึกฟุตบอล เมื่อกลับมาถึงเมืองไทย ทางครอบครัวจึงปรึกษากัน และตกลงที่จะส่ง ไม้ ไปอยู่ที่เยอรมัน กับศูนย์ฝึก DFI เพื่อเรียนรู้ศาสตร์ลูกหนังควบคู่ไปด้วยกันกับการศึกษา
ครั้งแรกที่ไป ไม้ อยู่ได้เพียงแค่ 2 เดือนก็ต้องกลับมาตั้งหลัก เพราะยังปรับตัวไม่ได้ โดยเฉพาะเรื่องของภาษา แต่ไม้ยังคงยืนยันที่จะขอสู้ต่อ ทางครอบครัวจึงตกลงกันว่า จะส่งไปเยอรมันอีกครั้งให้ไปอยู่ที่นั่น 1 ปี ไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนก่อน เพื่อฝึกภาษาและปรับตัวกับการใช้ชีวิตที่นั่น

หลังจากนั้น ไม้ ก็กลับเข้าสู่ DFI อีกครั้ง ในตอนนี้ ไม้ มีอายุได้ 16 ปีแล้ว มีความพร้อมแล้วทั้งภาษาและการปรับตัว ไม้ พักอยู่ที่หอพักภายใน DFI เลย โดยชีวิตประจำวัน นอกจากไม้จะต้องเข้าชั้นเรียนตามปกติแล้ว ก็ยังต้องฝึกฟุตบอลเพิ่มเติมอีกอย่างน้อยๆวันละ 2 เวลา โดยช่วงเวลาในการฝึกซ้อมจะขึ้นอยู่กับระดับของชั้นที่กำลังศึกษาอยู่ ซึ่งในการซ้อมนั้นก็จะมีแบบฝึกที่หลากหลาย ทั้งการซ้อมแบบกลุ่มเล็ก ซ้อมลงทีม หรือซ้อมแยกเป็นรายบุคคล เพื่อเสริมทักษะเฉพาะตัว สำหรับตำแหน่งนั้นๆ
อุปสรรคที่จะต้องเจอ เมื่อคุณไปอยู่ต่างประเทศตั้งแต่อายุยังน้อย?
"แม้เป้าหมายของเราคือการเดินทางไปเรียนไปฝึกฟุตบอล แต่เราไม่ได้สู้แค่ในสนามเท่านั้น เรายังต้องปรับตัวในเรื่องนอกสนามอีกด้วย เรื่องทัศนคติ และ จิตใจจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก"
คุณต้องเข้มแข็ง และแน่วแน่ในเป้าหมาย ยิ่งในสนามต้องมีความพยายามให้มากกว่าคนอื่น เพราะคุณมาจากต่างประเทศ ย่อมต้องเสียเปรียบนักเตะท้องถิ่นอยู่แล้ว”

ช่วงแรกที่ไปอยู่เยอรมัน ไม้ ไปพักอยู่กับครอบครัวชาวเยอรมัน อยู่ช่วงหนึ่ง เขาดูแลดีมากๆ จนไม้เริ่มปรับตัวได้ ภาษาก็ดีขึ้น หลังจากนั้นเมื่อเข้าไปอยู่กับศูนย์ฝึกของ DFI ก็เปลี่ยนมาอยู่หอพัก นับแต่นั้นมา ไม้ ก็อยู่คนเดียวมาตลอด ซึ่งข้อดีของการมาอยู่คนเดียวตั้งแต่เด็กๆ นั้นทำให้ ไม้ เป็นคนปรับตัวได้เร็วมาก ไม้ เลยไม่เคยมีปัญหาเลย เวลาที่ต้องย้ายทีม หรือเมื่อต้องเปลี่ยนแปลงไปอยู่ในสถานที่ใหม่ๆ
ที่ DFI ไม้ ต้องซ้อมตอนเช้า แล้วเข้าชั้นเรียน เย็นซ้อมต่อ ทำแบบนี้ทุกวันเป็นกิจวัตร แค่นี้ก็เหนื่อยมากแล้ว กลับถึงห้องก็หลับเป็นตาย ไม่ได้มีแรงจะออกไปสังสรรค์ตามประสาวัยรุ่นทั่วๆไป การใช้ชีวิตแบบนี้ทำให้ ไม้ มีระเบียบวินัยในการดูแลตัวเอง และก้าวข้ามสิ่งเร้าต่างๆ ที่เป็นอุปสรรคในการพัฒนาของชีวิตนักฟุตบอลในช่วงรอยต่อนี้มาได้อย่างน่าชื่มชม
เส้นทางค้าแข้ง

หลังจากที่มาอยู่กับ DFI ได้ 2 ปี โอกาสที่รอมานานก็มาถึง ไม้ ถูกดึงตัวเข้าร่วมทีม 1860 โรเซนไฮม์ รุ่นอายุไม่เกิน 19 ปี ทีมในระดับลีกกึ่งอาชีพของเยอรมัน ไม้ ที่เวลานั้นมีอายุเพียง 16 ย่าง 17 กลับสามารถระเบิดผลงานทำประตูได้ถล่มทลายในชุดเยาวชน คว้ารางวัลดาวซัลโว จนถูกดึงขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ในที่สุด
ด้วยผลงานที่ยังดีต่อเนื่องของ ไม้ ทำให้ไปเข้าตาแมวมอง ของทีมเอาก์สบวร์ก ทีมดังแห่งศึกบุนเดสลีกา เยอรมัน จนเกิดการติดต่อพูดคุย จนได้เข้าไปลองทดสอบ แล้วโค้ชเขาก็พอใจจนได้ย้ายทีมมาอยู่กับเอาก์สบวร์กในที่สุด

ไม้ ต้องเริ่มต้นกับทีม เอาก์สบวร์ก รุ่น U 23 (FC Augsburg II) ในระดับลีก 4 เยอรมัน ก่อนเป็นลำดับแรก เพื่อปรับตัวให้เข้ากับระบบของสโมสร และด้วยฟอร์มที่ดีในตอนนั้นโอกาสในทีมชาติไทยของ ไม้ ก็มาถึง เพราะด้วยดีกรีของ ไม้ ที่โลดแล่นในลีกเยอรมัน ทำให้เขาอยู่ในสายตาของทีมชาติมาตลอด ไม้ มีชื่อและได้ลงเล่นกับทีมชาติไทยในหลากหลายชุด ตั้งแต่ระดับเยาวชนชุดยู 19 ไล่ขึ้นมา จนถึงยู 23 และในชุดซีเกมส์

ในนามทีมชาติไทย ไม้ ก็ทำผลงานได้ดีพอสมควร แต่สวนทางกลับชีวิตในสโมสร เพราะชีวิตการค้าแข้งที่เอาก์สบวร์กของ ไม้ กลับไม่ราบรื่นอย่างที่คาดหวัง ความโชคร้ายเข้ามาเยือนแบบต่อเนื่อง
ไม้ ได้รับบาดเจ็บครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งเจ็บเล็กๆน้อยๆ ไปจนกระทั่งถึงบาดเจ็บแบบหนักๆ อย่างเอ็นไขว้หน้าขาด (ACL) ที่ต้องเข้ารับการผ่าตัด และใช้เวลาในการรักษาและฟื้นฟูอีกหลายเดือน ซึ่งมันกระทบกับความต่อเนื่องในการพัฒนา รวมถึงสถานะในทีมของ ไม้ ซึ่งแม้ว่าจะได้รับการต่อสัญญาออกไปอีก 2 ปี แต่สุดท้ายด้วยปัญหาอาการบาดเจ็บที่ยังคงรบกวน เมื่อครบกำหนด จึงไม่ได้มีการขยายสัญญากับทีมต่อไป
คิดบวกเข้าไว้ เข้าใจตัวเอง
สำหรับสภาพจิตใจของไม้ ในตอนนั้นที่ได้รับบาดเจ็บหนัก ตัว ไม้ ก็เสียใจอยู่พอสมควร แต่
"เมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว ก็ต้องยอมรับและอยู่กับมันให้ได้"
การฟื้นฟูก็ไม่ได้รีบเร่งอะไรมาก จะใช้เวลามากเท่าไรก็ได้ เพราะอยากให้ทุกอย่างออกมาดีที่สุด จะได้ไม่กลับมาเจ็บจุดเดิมอีก
เมื่อรวมเวลาในการรักษาและฟื้นฟูทั้งหมด ก็ใช้ระยะเวลามากถึง 10 เดือน เลยทีเดียว โดยนอกเหนือจากรักษาอาการเจ็บทางร่างกายแล้ว ช่วงพักรักษาตัวนี้ก็เหมือนเป็นช่วงเวลาที่ได้ซ้อมเรื่องสภาพจิตใจไปในตัวด้วย
ไม้ อชิตพล นับถึงตอนนี้ก็อยู่เยอรมันมาร่วม 10 ปี นับได้ว่าเป็นครึ่งหนึ่งของชีวิตเลยทีเดียว เขาปรับตัวเข้ากับชีวิตที่นี่ได้แล้ว นอกสนามก็เรียนหนังสือ ในสนามก็พยายามทำให้ดีที่สุด เป็นธรรมดาของชีวิตนักฟุตบอลที่ต้องมีทั้งช่วงเวลาที่ดีและไม่ดี ในยามที่ผลงานในสนามไม่เป็นใจ
ไม้อาจจะรู้สึกกดดันอยู่บ้าง แต่ก็ผ่านมาได้ เพราะมองว่าเป็นเรื่องปกติ ที่สามารถเกิดขึ้นได้ ส่วนใหญ่ก็จะย้อนกลับมาดู ว่าข้อผิดพลาดอยู่ตรงไหน แก้ที่ตัวเอง ไม่ได้โทษคนอื่นหรือสิ่งรอบข้าง เช่นไปคิดว่าเพื่อนส่งมาให้เราไม่ดีหรือเปล่า หรือเป็นเราเองต่างหากที่ยืนในตำแหน่งที่ไม่ดี
เมื่อเกิดขึ้นแล้วต้องแก้ไขอย่างไรก็มีเดินเข้าไปขอคำแนะนำจากโค้ชบ้าง ค่อยๆ แก้กันไปทีละจุด ยกตัวอย่างถ้าอยู่ในช่วงที่ไม่มั่นใจ
"ยิงยังไงก็ยิงไม่เข้า ก็ห้ามท้อ ก็ยังต้องยิงต่อไปเรื่อยๆ ยิงจนเข้า ขอให้ได้ยิงก่อน เข้าไม่เข้าเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ แล้วทุกอย่างจะค่อยๆกลับมาเข้าที่เข้าทางเอง"
กลับไทย หรือ ไปต่อ ?
เรื่องการเรียน ไม้ ใกล้จะจบปริญญาตรีเต็มทีแล้ว คิดว่าน่าจะภายในปีนี้ ส่วนการเล่นฟุตบอลปัจจุบัน ไม้ อชิตพล มีต้นสังกัดใหม่แล้วโดยลงเล่นให้กับทีม Schwaben Augsburg ในระดับลีก 4 ของเยอรมัน สโมสรตั้งอยู่ในพื้นที่ทางตอนใต้ของเยอรมนี มีสัญลักษณ์เป็นรูปอัศวิน (สะท้อนถึงความกล้าหาญ ศักดิ์ศรี และจิตวิญญาณนักรบของชาว Swabia)

สภาพร่างกายในตอนนี้ของ ไม้ คือ 100% แล้ว ไม่มีอาการบาดเจ็บอะไรรบกวน โดยไม้ ได้ตระเวนทดสอบฝีเท้าเพื่อหาทีมใหม่ในช่วงพรีซีซั่นกับหลายสโมสร แล้วสามารถโชว์ฟอร์มจนเข้าตาสโมสร Schwaben และได้รับการเซ็นสัญญาเบื้องต้นเป็นเวลา 1 ปีก่อน โดยกับต้นสังกัดใหม่นั้น ไม้ ค่อนข้างได้รับโอกาสลงสนามพอสมควร และถือเป็นแกนหลักของทีม โดยถึงตอนนี้ลงสนามไปแล้ว 17 นัด ทำไป 3 ประตู กับอีก 5 แอสซิสต์
สาเหตุส่วนหนึ่งที่จำนวนประตูอาจจะดูว่า ไม้ ยิงได้ไม่เยอะ ก็เพราะว่าในทีม Schwaben โค้ชเปลี่ยนบทบาทของ ไม้ จากตำแหน่งกองหน้าตัวเป้าที่เขาถนัด ถูกจับมายืนเป็นปีกซ้าย ในระบบ 4-3-3 ซึ่งกับบทบาทใหม่นี้นั้น ไม้ มองว่าเป็นความท้าทาย แม้จะต้องใช้เวลาในการปรับตัวอยู่บ้างแต่ก็ไม่มีปัญหา
ไม้ยังรู้สึกว่าเล่นง่ายขึ้นด้วยซ้ำ เพราะมีพื้นที่เล่นมากขึ้น ไม่ต้องยืนหันหลังให้ประตูชนกับกองหลังฝั่งตรงข้ามเหมือนในตำแหน่งกองหน้า ซึ่งเวลาต้องปะทะกับกองหลังเยอรมันตัวใหญ่ๆแล้วก็เล่นด้วยยากอยู่พอสมควร โดยในตอนนี้ (ช่วงเดือนกุมภาพันธ์) เข้าสู่ครึ่งซีซั่นหลังแล้ว ไม้ มีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะทำผลงานให้ออกมาดีที่สุด เพื่อที่หวังว่าอาจจะมีโอกาสได้ย้ายไปสู่ทีมที่ใหญ่ขึ้นกว่านี้ในอนาคต
สุดท้ายฝากถึงน้องๆ ถ้ามีนักเตะเยาวชนไทย อยากเดินตามเส้นทางของไม้บ้าง มีข้อคิดหรือข้อแนะนำอย่างไร?

"สำคัญที่สุดเลยคือตัวของน้องๆ เอง ต้องอยากที่จะไปก่อนเป็นอย่างแรก ไม่ได้เกิดจากการบังคับหรือผลักดันจากครอบครัว ต้องไปเพราะความต้องการของตัวเด็กเอง พ่อแม่มีหน้าที่แค่คอยสนับสนุนเท่านั้น"
เพราะถ้าเกิดจากความต้องการของตัวเด็กเอง มันจะเป็นสิ่งที่เขาอยากทำอยู่แล้ว ก็มีโอกาสที่เขาจะสามารถทำมันได้ดี และไม่ล้มเลิกไปกลางทาง แม้ต้องเจออุปสรรคที่รออยู่ข้างหน้า
ถ้าน้องๆ สามารถผ่านไปได้ ประสบการณ์ที่ได้รับกลับมาจะคุ้มค่าแน่นอน เพราะการไปเรียนรู้ศาสตร์ของฟุตบอลในต่างประเทศตั้งแต่เด็ก จะทำให้เราได้ซึมซับทั้งรูปแบบและวิธีการเล่นที่ถูกต้องตั้งแต่ขั้นพื้นฐาน จากประเทศที่เขาพัฒนาทางด้านฟุตบอลแล้ว
ในตอนนี้นอกจากการควานหานักเตะลูกครึ่งในต่างแดนที่กำลังทำกันอยู่ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะหาได้มากน้อยขนาดไหน และคุณภาพเป็นอย่างไร
ด้วยประสบการณ์กว่า 10 ปี บนแผ่นดินยุโรป และปัจจุบันก็เพิ่งจะมีอายุเพียง 23 ปีเท่านั้น "ไม้ อชิตพล คีรีรมย์" อาจเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง ที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียวสำหรับทีมชาติไทย
อยากติดตามและให้กำลังใจ “ไม้ อชิตพล” กันได้ที่
Facebook: www.facebook.com/mike.achitpol
Instagram: www.instagram.com/mike.achitpol
Youtube: www.youtube.com/@mikeachitpol