ล่าฝัน เปิดประตูโค้ชไทยไปต่างแดนกับโค้ชเปรม

ถ้าจะพูดให้ถึงวงการฟุตบอลกัมพูชาแล้ว แฟนฟุตบอลทั่วไปอาจจะเคยได้ยินข่าวของพวกเขาน้อยมาก ล่าสุดที่พอจะมีข่าวอยู่บ้างก็คงเป็นการเข้ามาคุมทีมชาติ ของ เคสุเกะ ฮอนดะ อดีตดาวดังทีมชาติญี่ปุ่น ในปัจจุบันทีมชาติกัมพูชาถูกจัดอยู่ในอันดับที่ 180 ของโลก และลีกฟุตบอลกัมพูชา หรือ กัมพูชา พรีเมียร์ลีก ได้รับการจัดลำดับโดย AFC อยู่ลำดับที่ 31 ของเอเชีย
สำหรับชาวต่างชาติ หากต้องย้ายไปทำงานด้านฟุตบอลในประเทศเพื่อนบ้านอย่างกัมพูชา หลายคนอาจจะมองได้ว่านี่เป็นการก้าวถอยหลังหรือเปล่า?
แต่มีชายคนหนึ่งกลับไม่คิดเช่นนั้น เพราะเมื่อมองลึกลงไปในรายละเอียด ตัวเลขอันดับต่างๆ ที่ประกาศออกมา “ไม่ได้สะท้อนภาพความเป็นจริงที่เกิดขึ้น”
เขาได้พบว่า ที่นี่ความนิยมในเกมส์ลูกหนังในประเทศนี้กำลังอยู่ในช่วงขาขึ้น กำลังพุ่งทะยานไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว มีการบริหารจัดการที่เป็นสากลมากขึ้น เม็ดเงินมหาศาลเริ่มกำลังถูกหว่านลงมาในวงการฟุตบอลอย่างต่อเนื่อง
ดัชนีชี้วัดความนิยมง่ายๆ ที่มองเห็นได้คือ ยอดผู้ติดตามของสโมสรต่างๆ บน Facebook
นี่คือ ตัวเลขของ 3 ทีมชั้นนำในกัมพูชา พรีเมียร์ลีก 🇰🇭
Phnom Penh Crown FC: 3.4 แสน การกดถูกใจ • ผู้ติดตาม 4.4 แสน คน
Preah Khan Reach Svay Rieng FC: 2.3 แสน การกดถูกใจ • ผู้ติดตาม 3 แสน คน
Visakha FC - Pride of Cambodia: 2.4 แสน การกดถูกใจ • ผู้ติดตาม 2.9 แสน คน
เมื่อเทียบกับทีมชั้นนำในเมืองไทย 🇹🇭 (โดยยกเว้นบุรีรัมย์ที่ทำการตลาดและสร้างชื่อเสียงมายาวนาน)
การท่าเรือ เอฟซี Port FC: 3.8 แสน การกดถูกใจ • ผู้ติดตาม 4.5 แสน คน
True Bangkok United: 4.5 แสน การกดถูกใจ • ผู้ติดตาม 5.2 แสน คน
BG Pathum United: 4.9 แสน การกดถูกใจ • ผู้ติดตาม 6.4 แสน คน
จะเห็นได้ว่าตัวเลขมีความใกล้เคียงกัน อาจจะน้อยกว่าบ้างก็ไม่มาก แต่จุดสังเกตจุดใหญ่ที่สำคัญคือ จำนวนประชากรทั้งประเทศ เพราะกัมพูชา มีประชากรทั้งประเทศเพียง 16-17 ล้านคน เมื่อเทียบกับประเทศไทยที่จำนวนประชากรแตะหลัก 70 ล้านคนเข้าไปแล้ว
จึงพอจะอนุมานได้ว่า เมื่อเทียบเป็นเปอร์เซ็นต่อจำนวนประชากรแล้ว ผู้คนที่นี่ก็คลั่งไคล้ฟุตบอล ไม่แพ้ชาติไหนๆ
ดังนั้นเขาคิดว่า นี่จึงไม่ใช่เป็นการก้าวถอยหลัง หากแต่การหยุดนิ่งและย่ำอยู่กับที่ต่างหาก ที่เหมือนเราก้าวถอยหลังแล้ว
ถ้าสุดท้ายแล้วการมาที่นี่จะเป็นการก้าวถอยหลังจริงๆ ล่ะก็ เขามองว่า มันคือการก้าวถอยหลังเพียงหนึ่งก้าว เพื่อก้าวต่อไปข้างหน้าอีกสองก้าว หรือถ้าจังหวะและโอกาสในชีวิตเป็นใจ การก้าวถอยหลังครั้งนี้ ก้าวต่อไปของเขาอาจจะเป็นก้าวที่กระโดดไปไกลจนหยุดไม่อยู่เลยก็เป็นได้...
มาทำความรู้จักกับเขา..
"อัครพล อ่อนศรี หรือ เปรม" คือชายคนนั้น ปัจจุบันเปรมในวัย 28 ปี ซึ่งอายุช่วงวัยนี้ หากเขายังเล่นฟุตบอลอาชีพอยู่ ก็ถือว่าเป็นช่วงพีคของชีวิตการเล่นฟุตบอลเลยทีเดียว
ในวัยที่พร้อมทั้งอายุ ฝีเท้าและประสบการณ์ ความสำเร็จอาจกำลังรออยู่ หากแต่จังหวะชีวิตของคนเรา อาจจะไม่ได้เป็นไปตามสคริปต์แบบนั้น
เปรม เริ่มต้นเล่นฟุตบอลแบบจริงจังในระดับสูง ตั้งแต่สมัยเรียนระดับมหาวิทยาลัย ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยเปรม เล่นในตำแหน่งผู้รักษาประตู ให้กับทีมโดม เอฟซี ซึ่งโลดแล่นอยู่ในลีกภูมิภาค
เมื่อเขาเล่นไปได้สักพัก ตัวเขาเองกลับพบว่า มันยังรู้สึกไม่ใช่ แม้ว่าเขาจะรักฟุตบอลมากเพียงใดก็ตาม แต่ชีวิตการเป็นนักฟุตบอลอาชีพ ยังไม่ตอบโจทย์ทั้งหมดในชีวิตเขา
จากผู้รักษาประตู สู่การเป็นโค้ช
ในช่วงการเรียนปีที่ 4 ซึ่งเป็นปีสุดท้ายในรั้วมหาวิทยาลัย ช่วงที่ต้องฝึกงาน เขาจึงตัดสินใจเลิกเล่นฟุตบอลอาชีพในตอนนั้น ซึ่งเป็นจังหวะพอดีกับการที่มหาวิทยาลัย ได้ชักชวนเปรมให้มาลองทำงานโค้ช
โดยประเดิมงานโค้ชครั้งแรกในชีวิต กับศึกฟุตบอลประเพณี จุฬา-ธรรมศาสตร์ อันเก่าแก่และมีมนต์ขลัง โดยเปรมรับบทบาทผู้ช่วยโค้ชผู้รักษาประตู ร่วมงานกับอดีตผู้รักษาประตูทีมชาติไทย วิรัช วังจันทร์
หลังจากนั้นก็ได้โอกาสทำงานเต็มตัวทันทีกับตำแหน่งโค้ชผู้รักษาประตู ของทีมโดม เอฟซี ต้นสังกัดที่เขาผูกพัน แต่เพียงแค่ปีแรกและปีเดียวที่เขามีส่วนร่วม แม้จะไม่ใช่ความผิดอะไรของเขาคนเดียวก็ตาม
แต่ทีมมีอันต้องตกชั้นไป..
เส้นทางใหม่กับทีมชาติไทย
หลังจากนั้น เปรมทราบข่าวมาว่าทางสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย กำลังรับสมัครเจ้าหน้าที่ในหลายตำแหน่ง จึงลองไปยื่นใบสมัครดู สิ่งที่คิด ณ ตอนนั้น คือ
"งานอะไรก็ได้ ขอแค่ให้ได้เข้าไปให้ได้ก่อน ด้วยคิดว่าตนเองอายุยังน้อย ยังมีโอกาสอีกมากมายรออยู่ข้างหน้า ขอแค่อดทนและไม่หยุดพัฒนาตัวเองก็พอ"
งานแรกๆ ที่เปรม ได้ทำที่สมาคมฟุตบอล คือเป็นผู้ประสานงาน และจัดทำคอร์สฝึกอบรมต่างๆ ของสมาคมฟุตบอล ด้วยความเป็นคนชอบพูด มีทักษะการเล่าเรื่อง และถ่ายทอดออกมาได้ดี จึงรับบทบาทเป็นวิทยากรไปในตัวด้วย เปรมทำหน้าที่ในส่วนนี้อยู่หลายปี
จนมาวันหนึ่ง โค้ชผู้รักษาประตูทีมชาติไทย ชุดอายุไม่เกิน 14 ปี เกิดติดภารกิจ สมาคมจึงให้เปรมไปช่วย ทำไปทำมา สมาคมเห็นแวว และความสามารถ จึงได้รับโอกาสกลับมาทำงานโค้ชอีกครั้ง
โดยเปรมช่วยงานในชุดเยาวชน ของทีมชาติไทย ในรุ่นอายุต่างๆ หลายต่อหลายชุด อาทิเช่น ชุดเยาวชนอายุไม่เกิน 12 ปี ที่ไปแข่งขันรายการฟุตบอล "U-12 Junior soccer world challenge 2019" ที่ สนามเอ็กซ์โป 70 สเตเดี้ยม เมืองโอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น
ทีมชุดนี้จบอันดับที่ 3 และสร้างความฮือฮาเมื่อหลายปีก่อนเพราะในรายการนั้น ทีมชุดนี้สามารถเอาชนะเยาวชนบาร์เซโลน่า แชมป์เก่า ที่ชุดนั้นมี Lamine Yamal วันเดอร์คิด ทีมชาติสเปน ชุดแชมป์ยุโรปหนล่าสุด ร่วมทีมไปด้วยได้สำเร็จ
หรืออีกทีมคือชุดเยาวชนอายุไม่เกิน 16 ปี ที่อยู่ในทีมงานสต้าฟของโค้ชโม้ พิภพ อ่อนโม้ ในรายการ ฟุตบอลชิงแชมป์อาเซียน 2022 ที่ประเทศอินโดนีเซีย
งานสุดท้ายที่ทำคือ อยู่ในทีมงานของ โค้ชชุ่ม ชยกร ถนัดเดินข่าว ในโครงการ Talent ID ที่ทำงานร่วมกันกับฟีฟ่า ในการค้นหาเด็กเยาวชนที่มีศักยภาพ เพื่อป้อนเข้าสู่ทีมชาติไทยในชุดต่างๆ
โดยแม้ภาพรวมของทีมแต่ละชุดจะผลงานดีหรือร้ายก็ตาม แต่ผลงานส่วนตัวของเปรม ในตำแหน่งโค้ชผู้รักษาประตูของทีมชุดนั้นๆ ผู้รักษาประตูที่เขาฝึกสอน มักจะได้รับรางวัลผู้รักษาประตูยอดเยี่ยมของทัวร์นาเม้นอยู่บ่อยครั้ง
โอกาสใหม่กับสโมสรในลีกกัมพูชา

ถึงปัจจุบัน ตัวเขาทำงานกับสมาคมมา 6-7 ปีแล้ว ทั้งการเปลี่ยนแปลงตัวผู้บริหารที่เกิดขึ้นในสมาคม และตัวเปรมเองก็รู้สึกอิ่มตัวในหลายๆด้าน พอดีกับที่เพื่อนของเปรม แนะนำเอเย่นต์ คนหนึ่งให้รู้จัก และบอกว่ามีงานน่าสนใจอยากให้ลองคุยกันดู
เอเย่นต์บอกเปรมว่า มีสโมสรในลีกกัมพูชา กำลังมองหาโค้ชผู้รักษาประตู เปรมสนใจจะไปทำหรือไม่ และสโมสรนั้นกำลังจะมาพรีซีซั่นที่เมืองไทยพอดี ถ้าเขาสนใจสามารถนัดสัมภาษณ์งานได้เลย
ณ เวลานั้น มันตรงกับเป้าหมายของเขาพอดี ที่ต้องการพาตัวเองออกจาก comfort zone ออกจากสิ่งแวดล้อมเดิมๆ อยากลองหาประสบการณ์ใหม่ๆ อยากฝึกใช้ภาษา อยากท้าทายตัวเอง มีคนเคยบอกกับเปรมว่า
"เปรมเป็นคนเก่งนะ แต่ภาษาอังกฤษเปรมยังไม่ดีพอ ถ้าภาษาเปรมดีกว่านี้ เปรมจะไปได้อีกไกลเลย"
เปรมใช้เวลาคิดไม่นาน โอกาสรออยู่ข้างหน้าแล้ว เขาไม่มีอะไรจะเสีย ขอลองดูซักตั้ง เมื่อสโมสรจากกัมพูชา เดินทางมาถึงประเทศไทย เปรมมีโอกาสได้สัมภาษณ์งาน กับไดเรคเตอร์ของสโมสร ซึ่งเป็นชาวสิงคโปร์ ทุกอย่างราบรื่นผ่านไปได้ด้วยดี สโมสรตกลงเซ็นสัญญากับเปรม
ในวันนั้น ไดเรคเตอร์ชาวสิงค์โปร์ได้บอกกับเปรมว่า
"เขายินดีมากที่ได้เปรมเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของสโมสร เขาคิดว่านี่จะเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องอีกครั้งในชีวิตของเปรม"
เขาบอกเปรมว่า ถ้ามาอยู่ที่นี่คุณจะ Popular มาก ผู้คนที่นี่บ้าฟุตบอล และตัวเปรมเองก็อายุยังน้อย ถือเป็นโค้ชรุ่นใหม่ เหมาะกับเทรนด์ของโลกฟุตบอลในปัจจุบัน ที่ค่าเฉลี่ยอายุของโค้ชส่วนใหญ่ลดลงเรื่อยๆ โค้ชอายุน้อยๆหลายคน ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว และได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง
เขาหวังว่าเปรมจะเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาฟุตบอลของประเทศนี้และเติบโตไปอย่างที่หวัง วันหนึ่งเปรมอาจจะได้กลับมารับใช้บ้านเกิดในทีมชุดใหญ่ในอนาคตก็เป็นได้
และนี่คือเรื่องราวของเขา
"เปรม" อัครพล อ่อนศรี โค้ชผู้รักษาประตูชาวไทย ใน กัมพูชา พรีเมียร์ลีก
ให้กำลังใจพร้อมติดตามความเคลื่อนไหวของเปรมและสโมสรของเขาได้ที่ Boeung Ket Football Club