"ซานโต๊ส" ช่างภาพผู้บันทึกความทรงจำของทีมชาติไทย

"ซานโต๊ส" ช่างภาพผู้บันทึกความทรงจำของทีมชาติไทย

"𝗧𝗵𝗿𝗼𝘂𝗴𝗵 𝘁𝗵𝗲 𝗟𝗲𝗻𝘀: 𝘛𝘩𝘦 𝘚𝘵𝘰𝘳𝘺𝘵𝘦𝘭𝘭𝘦𝘳 𝘰𝘧 𝘛𝘩𝘢𝘪'𝘴 𝘍𝘰𝘰𝘵𝘣𝘢𝘭𝘭'𝘴 𝘏𝘪𝘴𝘵𝘰𝘳𝘺" 📸

"เราเป็นเหมือนทีมงานเบื้องหลังที่ต้องทำให้ทุกอย่างออกมาทันเวลา ไม่ว่าจะเป็นภาพการยิงประตู การดีใจของนักเตะ หรือภาพเบื้องหลังทีมชาติไทย ทั้งหมดต้องถูกส่งต่ออย่างรวดเร็วและถูกต้อง"
"ในบางอารมณ์ผมก็อยากนั่งดูการแข่งขัน เหมือนแฟนบอลทั่วไปเหมือนกันนะ"

นี่คือคำพูดของชายคนหนึ่งผู้ที่อยู่ติดขอบสนาม แทบทุกนัดที่ทีมชาติไทยลงแข่งขัน เล่าให้ทีมงาน Off The Bench ฟัง ซึ่งคำว่าติดขอบสนามนั้น คือติดจริงๆ เพราะงานของเขานั้น เรียกได้ว่าใกล้ชิด ติดริมเส้นกันเลยทีเดียว..


"ผมอยู่ในสนามตั้งแต่ต้นจนจบ แต่เดินออกมาหลังจบเกมผมคุยกับคนอื่นแทบไม่รู้เรื่องเลยนะ ว่ารูปเกมเป็นอย่างไร จังหวะนั้นจังหวะนี้คิดว่าอย่างไร"

เหตุผลที่เขาพูดแบบนั้น ก็เพราะว่า แม้จะอยู่ข้างสนามตั้งแต่เสียงนกหวีดแรก ไปจนกระทั่งจบเกม แต่โฟกัสที่เขามองไปที่สนาม ภาพการแข่งขันที่ปรากฎผ่านสายตาของเขานั้นกลับไม่ใช่ การมองผ่านสายตาปกติ หากแต่เป็นการมองผ่านเลนส์ของกล้องอีกที เพราะงานของเขานั้นคือ ช่างภาพ นั่นเอง

วันนี้ทีมงาน Off The Bench จะพาไปทำความรู้จักกับชายคนนั้น และเรื่องราวของเขา

"ซานโต๊ส" ศรายุทธ กล่ำถาวร ช่างภาพประจำทีมชาติไทย


กว่าจะมาเป็น "ซานโต๊ส" ช่างภาพของทีมชาติไทย

"จะเรียกผมว่าช่างภาพก็ได้ แต่จริงๆ งานของผมในสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย จะเรียกรวมๆกันว่า เป็นฝ่ายประชาสัมพันธ์ของสมาคม"
"ในฝ่ายของเรา ก็จะมีกัน 4-5 คน ก็ช่วยกันทำทุกอย่าง ถึงผมจะถ่ายภาพเป็นหลัก แต่ก็ต้องทำอย่างอื่นด้วย ก็จะแบ่งๆ งานกันไป"

ถ้าจะให้ขยายความเกี่ยวกับฝ่ายประชาสัมพันธ์ของสมาคมก็คือ ด้วยงบประมาณที่จำกัด และอยู่ในช่วงของการพัฒนา ทำให้สมาคมฟุตบอลของเรา ยังไม่สามารถจะมีบุคลากรจำนวนมากแบบประเทศอื่นๆได้

เม็ดเงินที่จ่ายออกไป จะถูกใช้อย่างคุ้มค่าที่สุด งานช่างภาพ จึงอาจจะไม่ได้แค่ถ่ายภาพอย่างเดียว ในบางจังหวะเวลา อาจจะต้องไปถ่ายวีดีโอ ช่วยตัดต่อ แต่งภาพ หรือเขียนเนื้อหาเอง


งานที่มากกว่าการถ่ายภาพ

"ขอบเขตงานมันกว้างมากครับ ครอบคลุมไปถึงติดต่อประสานงานกับสื่ออื่นๆ ทั้งแจกจ่ายรูปที่เราถ่าย หรือจัดการเกี่ยวกับการลงทะเบียนสื่อมวลชนหรือช่างภาพ ที่จะขอเข้าไปทำข่าวในแมตช์ต่างๆ ของสมาคม ก็เป็นส่วนหนึ่งในงานของฝ่ายประชาสัมพันธ์เหมือนกัน"

เนื่องจากเราเป็นช่างภาพของสมาคมโดยตรง ดังนั้นจึงมีโอกาส ได้ใกล้ชิดกับทีมชาติมากกว่าสื่ออื่นๆ ภาพที่ถ่ายออกมา ทั้งการซ้อมหรือภายในสถานที่เก็บตัว จึงมีความ เอ็กคลูซีฟ และเป็นลิขสิทธ์โดยตรงของสมาคมฟุตบอล ดังนั้นถ้าสื่ออื่นๆ จะนำไปใช้ ก็จะต้องมาขอจากทางเราอีกที

ในทางกลับกัน ถ้าสโมสรสมาชิก อยากจะให้ทางสมาคมช่วยเผยแพร่ข่าวสารหรือประชาสัมพันธ์อะไร ก็แจ้งมาได้

"ถ้าเห็นว่าเป็นประโยชน์ผมก็จะนำไปปรึกษากับทีมงานถ้าไม่มีปัญหาอะไร เราก็จะช่วยลงข่าวให้ในช่องทางต่างๆ ของสมาคมต่อไป"

ซานโต๊ส ยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่า ไม่ได้มีพื้นฐานด้านการถ่ายภาพโดยตรง แต่ด้วยความรักในฟุตบอลและความหลงใหลในงานถ่ายภาพ ซานโต๊สเริ่มต้นด้วยการเป็นผู้ช่วยช่างภาพที่ถ่ายงานในทัวร์นาเมนต์เล็กๆ โดยมีเพื่อนที่เป็นช่างภาพคอยสอนการใช้งานกล้องตั้งแต่ขั้นพื้นฐาน ไม่ว่าจะเป็นการตั้งค่าความเร็วชัตเตอร์หรือการจัดแสง

ตอนนั้นเรียนไปด้วยทำงานไปด้วย อาศัยครูพักลักจำ ค่อยๆ หาโอกาสฝึกฝน เริ่มรับงานเองเล็กๆ น้อยๆบ้าง ทำไปเรื่อยๆ จนเริ่มมีฝีมือพอสมควร จึงลองไปสมัครงานสายช่างภาพสายนักข่าวกีฬาดู และได้ทำงานที่แรกกับหนังสือพิมพ์ Hot Score ในสมัยนั้น

"9 ปีครับ ผมอยู่กับสมาคมมาตั้งแต่สมัยนายกสมยศ จนถึงสมัยมาดามแป้งในปัจจุบันครับ"

จากการได้สั่งสมประสบการณ์จนเริ่มพอเป็นที่รู้จักในวงการนักข่าวและช่างภาพกีฬา พอดีเวลากับที่ตอนนั้น ท่านสมยศได้รับตำแหน่งนายกสมาคม พี่มนูญที่สนิทสนมกันที่ทำงานอยู่ในสมาคมบอกว่า สมาคมยังไม่มีช่างภาพประจำเลย จึงชวนให้มาทำที่สมาคมด้วยกัน และได้รับความไว้วางใจ ได้เข้าไปทำงานกับสมาคมในที่สุด จึงอาจถือได้ว่า

"ผมเป็นช่างภาพประจำคนแรกเลยของสมาคมฟุตบอลก็ว่าได้"

ทำงานแบบมืออาชีพ

"ไม่ใช่ว่าตั้งกล้องแล้ว นึกว่าจะถ่ายอะไรก็ถ่ายนะ"

ในแต่ละเกม ก่อนจะลงไปในสนาม ก็จะมีการวางหัวข้อไว้ก่อนแล้ว ว่าจะต้องถ่ายอะไรบ้าง เพราะนอกจากจะถ่ายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเกมแล้ว ยังต้องมีพวกรูปที่เป็นมาตรฐานอยู่ด้วย เช่น รูปหมู่ก่อนแข่งของทีม แอ็คชั่นของโค้ช บรรยากาศของกองเชียร์ สีสันของคนดูในสนาม เป็นต้น

แม้ผมเองจะเป็นช่างภาพของสมาคมโดยตรงก็ตาม แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะได้รับอภิสิทธิ์อะไรเป็นพิเศษ แต่ถ้าจะมีบ้างก็คืออย่างน้อยๆ เราได้โควตาเข้าไปแน่ๆ เพราะอย่าลืมว่าเราไม่ได้แข่งอยู่แต่ในราชมังคลาฯ ทีมชาติยังมีทั้งเกมเยือนต่างประเทศ หรือเกมในต่างจังหวัด กติกาในแต่ละสนามก็จะไม่เหมือนกัน

ที่เป็นมาตรฐานในรายการระดับเอเชียก็คือ นักข่าวช่างภาพ คุณต้องลงทะเบียนมาก่อนนะ ซึ่งแต่ละแมตช์ก็จะมีการจำกัดจำนวนคน ว่านักข่าว เข้าไปได้กี่คน ช่างภาพกี่คน แล้วพอเข้าไปแล้ว อยู่หลังประตูได้กี่คน อยู่ข้างสนามจำกัดกี่คน ก็เป็นรายละเอียดปลีกย่อยข้างในอีกที

แล้วมันก็มีมารยาทในการทำงาน ไม่ใช่ว่าตอนแรกคุณอยู่ฝั่งนี้ พอครึ่งหลังจะขอย้ายไปอีกฝั่ง ก็จะต้องมีการขอกันกับช่างภาพอีกฝั่ง อาจจะเป็นการแลกกันอะไรแบบนี้

"สำหรับตัวผมภาพที่ดี ไม่ใช่ภาพที่แสงออกมาสวยที่สุด หรือองค์ประกอบของรูปครบถ้วน แต่ภาพที่ดีที่สุด คือภาพที่สื่อความหมายออกมาได้ด้วยตัวของมันเอง"

โมเมนต์แห่งความประทับใจ..

ช่างภาพแต่ละคน จะมีมุมมองและสไตล์การถ่ายภาพ เฉพาะตัว ขนาดนั่งถ่ายอยู่ข้างๆกัน ภาพที่ออกมายังไม่เหมือนกันเลย อย่างผมเอง จะถนัดถ่ายแอ็คชั่นบริเวณด้านหลังประตูเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นเวลาดีใจของนักเตะหลังทำประตูได้ โมโหหรือเสียใจที่ยิงพลาด

ภาพที่คนจำได้กันตอนที่ลงรูปไปคนแชร์กันเยอะมาก ก็รายการ AFF เมื่อหลายปีก่อน แมตช์นั้นแข่งที่สิงคโปร์ จังหวะที่ เจ ชนาธิป ยิงได้ เจ วิ่งมาที่ข้างสนามมากอดกับ ตอง กวิน ซึ่งกำลังวอร์มอยู่ แล้วตอนนั้นคือทุกคนทราบกันอยู่แล้วว่า เป็นช่วงเวลาที่ตอง เพิ่งสูญเสียคุณพ่อ นาทีนั้นเป็นอะไรที่กินใจ และก็ยังจดจำได้จนทุกวันนี้

"สถานการณ์มันเปลี่ยนไปทุกวันนะ สนามเดียวกัน เวลาเดียวกัน แต่เปิดสปอตไลท์มา นั่งคนละจุด แสงก็เปลี่ยนไปแล้ว พวกฝนตก แดดจ้า ฟ้ามืด เป็นเรื่องปกติ แต่หิมะนี่ครั้งแรก"

เมื่อพูดปัญหาและอุปสรรคในการทำงานนั้น สำหรับ ซานโต๊ส ซึ่งเป็นช่างภาพกีฬาฟุตบอล ที่โดยส่วนใหญ่มักเป็นสนามกลางแจ้ง พวกแสงแดดหรือฝนตก เป็นสิ่งที่พบเจอได้เป็นปกติ ก็พอจะรู้วิธีแก้ปัญหาอยู่ แต่จะมีปัญหาบ้างกับสถานการณ์ใหม่ๆ ที่เขาเพิ่งเคยสัมผัสเป็นครั้งแรก

ยกตัวอย่างเช่น ตอนเดินทางไปกับทีมชาติไทยชุด U19 ไปแข่งที่มองโกเลีย ครั้งนั้นหิมะตกหนักมาก ทั้งหนาว ทั้งลื่น การกดชัตเตอร์แต่ละครั้ง เป็นไปด้วยความยากลำบากเพราะเราใส่ถุงมืออยู่ สุดท้ายต้องถอดออก ทุกอย่างเบื้องหน้ามันขาวไปหมด แต่เมื่อภาพที่ปรากฏผ่านเลนส์กล้องของเขา คือน้องๆ นักเตะทีมชาติไทยซึ่งกำลังต่อสู้อยู่ในสนามนั้น น่าจะหนาวและเหนื่อยกว่าตัวเขามาก

"อุปสรรคเพียงเท่านี้ตัวเขาจะท้อได้อย่างไร"

มันเป็นหน้าที่ของเขาแล้วที่จะต้องถ่ายทอดเรื่องราวการต่อสู้ของนองๆ เหล่านั้น โดย ซานโต๊ส มองว่าทุกอย่างคือประสบการณ์ และไม่เคยมีสักวันที่คิดว่าตัวเองนั้นเก่งแล้ว ทุกวันนี้ตัวเขาก็ยังเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา อยากจะพัฒนาฝีมือ เพื่อให้ผลงานออกมาดีที่สุด


ยุค Digital และโลก Social

"ผมไม่มีอีโก้ อะไรไม่ดีไม่เหมาะสม ก็บอกผมได้ ผมลบให้เลย"

ในยุคที่ ดราม่า ครองเมือง แม้จะไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนัก แต่ก็มีบ้างเท่าที่พอจะนึกออก เมื่อมีคนติติงหรือไม่สบายใจกับภาพถ่ายผลงานของเรา

ยกตัวอย่างเช่น มีครั้งหนึ่งถ่ายไปที่ซุ้มมานั่งสำรอง ทั้งที่ก็ถ่ายตามปกติ ไม่ได้คิดอะไร ก็มีบางคนไปมองเห็นนักกีฬายกเท้าขึ้นมาพาดม้านั่ง ก็ติติงเข้ามาว่าไม่เหมาะสม หรืออย่างอีกเรื่องเช่น ภาพถ่ายนักฟุตบอลตอนที่เขากำลังหยอกล้อเล่นสนุกกัน แต่ดันเป็นภาพที่เห็นเป็นการตบหัวกันอยู่ บางทีก็คิดไม่ถึง ว่ามันจะนำไปสู่ดราม่าได้..

ตัวผมไม่มีปัญหาเลย ถ้าเห็นว่าไม่ดี ไม่ถูกต้อง ผมยินดีลบให้ ไม่ติดใจอะไร


ผู้อยู่เบื้องหลังกล้อง

"เราอยู่ในมุมมืด แล้วฉายแสงไปที่คนอื่น เราทำให้เขามีตัวตน แล้วตัวเราที่อยู่หลังกล้องล่ะ"

บางเวลาก็มีคิดเล็กๆนะว่า ไม่มีใครรู้จักช่างภาพเลย ทุกคนดูแต่รูปที่เราถ่าย ดูนักฟุตบอลในรูปนั้น จะเคยมีใครสักคนสงสัยว่าใครถ่ายรูปเหล่านั้นไหม ช่างภาพมันเป็นงานที่ต้องอุทิศตัวเยอะมากเหมือนกันนะ เพราะนักเตะไปไหนเราก็ต้องไปด้วย เราเองก็ไม่ได้หยุดเหมือนกัน

เราเป็นลูกจ้างประจำทำงานของสมาคม ช่วงไม่มีแมตช์การแข่งขัน ก็มีงานอื่นให้ทำ เอาอุปกรณ์ไปซ่อม ทำเอกสาร แต่งรูป มีอะไรให้ทำอยู่ตลอด โชคยังดีที่ครอบครัวเข้าใจว่าเรามาทำงานในจุดตรงนี้

มองอีกมุมก็เป็นโอกาสหรือความโชคดีของเรา ผมเชื่อว่ายังมีอีกหลายคนที่เก่งกว่าผม และอยากจะมาทำตรงนี้แต่ก็ไม่มีโอกาส

พอมาคิดจริงๆ แล้ว นี่มันเป็นงานในฝันเหมือนกันนะ เพราะเรารักในกีฬาฟุตบอล เด็กๆ ก็เคยอยากเป็นนักฟุตบอล ฝันอยากติดทีมชาติตามประสาเด็กๆ

แต่พอได้มาอยู่ในจุดนี้ ได้ติดตามทีมชาติไป ได้ใกล้ชิดนักกีฬา นอนโรงแรมเดียวกัน ทานข้าวด้วยกัน จะเรียกว่าตอนนี้เราก็เป็นทีมชาติเหมือนกันก็ได้นะ แม้จะเป็นเพียงทีมงานก็ตาม แต่ก็ถือว่าได้เติมเต็มความฝันในวัยเด็กแล้ว

เมื่อถูกถามถึงความภาคภูมิใจในอาชีพนี้ ซานโต้สตอบด้วยความอ่อนน้อมว่า

"ผมไม่ได้คิดว่าตัวเองเก่งที่สุด ผมแค่โชคดีที่ได้มาอยู่ตรงนี้ และผมจะพยายามเรียนรู้ต่อไป เพราะวงการนี้ยังมีอะไรให้ค้นหาอีกมาก"

ความท้าทายและความฝัน..

"ความฝันสุดท้าย ถ้ามันเป็นจริงขึ้นมาได้ ชีวิตนี้ของผม คงสมบูรณ์แบบที่สุด ทั้งในฐานะช่างภาพและแฟนฟุตบอลไทย นั่นคือการได้เห็นทีมชาติไทย ได้ไปฟุตบอลโลก"
"จริงๆแล้ว ก็คงไม่ต่างจากแฟนบอลชาวไทยแทบทุกคน โดยที่ตัวผมเอง จะขอโอกาสเป็นตัวแทน ถ่ายภาพเหล่านั้นกลับมาให้แฟนๆฟุตบอลชาวไทย ได้ร่วมภาคภูมิใจไปด้วยกัน"

ด้วยความตั้งใจและความรักในงาน ซานโต้สไม่เพียงแค่ทำหน้าที่ของตน แต่ยังเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนรุ่นใหม่ที่อยากก้าวเข้าสู่วงการช่างภาพกีฬา


ทางเพจ Off The Bench ก็อยากร่วมจดจำไว้ว่า เขาคือหนึ่งในผู้ที่อยู่เบื้องหลังภาพความทรงจำอันล้ำค่าในสนามฟุตบอลไทย และยังคงทำหน้าที่นี้ต่อไปด้วยความรักที่ไม่เปลี่ยนแปลง..

ติดตามผลงานของซานโต๊สได้ที่ Facebook