“ถุงเท้าหาย เสื้อหด น้ำหมดก่อนแข่ง?” ยินดีต้อนรับสู่โลกของ Kitman

บทสัมภาษณ์ Kitman ทีมชาติไทย

“เวลาเราดูถ่ายทอดสดตอนทีมชาติแข่ง ถ้าจะมองหาพี่โน๊ตในจอ ต้องมองไปตรงไหนครับ?”
“ถ้าจะมองหาผม ให้มองไปที่แถวๆ ถังน้ำแข็งตรงซุ้มม้านั่งสำรองครับ ลองสังเกตดีๆ ตอนพักครึ่งจะเห็นผมแอบเดินไปเติมน้ำข้างสนามก่อนครึ่งหลังจะเริ่มเสมอ”
นี่คือคำตอบของคนทำงานเบื้องหลัง ที่แม้พวกเขาจะมองว่าตนเองเป็นเพียงฟันเฟืองเล็กๆ เท่านั้น แต่ถ้าไม่มีบุคลากรเหล่านี้คอยขับเคลื่อนทำหน้าที่ของตัวเองอยู่เงียบๆ แบบไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยแล้วล่ะก็ เชื่อได้เลยว่าผลงานเบื้องหน้าที่ถ่ายทอดออกมา คงไม่มีทางสมบูรณ์แบบแน่ๆ ทีมงาน Off The Bench ก็ขอร่วมสงสัยว่าเคยมีของสกรีนผิด หรือเสื้อหดเสื้อหายบ้างหรือไม่
นี่คือเรื่องราว ของทีมงานที่ดูแลชุดแข่งขันและอุปกรณ์ต่างๆ ให้กับทีมชาติไทย ผ่านการรับใช้ทีมชาติไทยมาแล้ว หลายต่อหลายชุด รายละเอียดการทำงาน และบทบาทหน้าที่เป็นอย่างไร รวมถึงมีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อย ในการทำงานอะไรที่อยากจะเล่าให้แฟนๆ ฟุตบอลฟังบ้าง มาติดตามเรื่องราวของเขาไปด้วยกัน
“โน๊ต สุพัฒน์ พลยุทธภูมิ” Kitman ทีมชาติไทย
เส้นทางสู่การเป็น Kitman ทีมชาติไทย

ก่อนจะมาเป็น Kitman ที่ดูแลทีมชาติไทยในทุกวันนี้ พี่โน๊ตไม่ได้เริ่มต้นจากสายงานนี้โดยตรง แต่มีพื้นฐานจากการเป็นนักกายภาพและหมอนวดมาก่อน แล้วอะไรที่ทำให้เขาเข้าสู่วงการนี้?
“ผมจบสาขาวิทยาศาสตร์การกีฬามา เริ่มต้นจากงานนักกายภาพและหมอนวดในระดับสโมสร ทำอยู่นานหลายปี จนมีโอกาสได้รับการชักชวนให้เข้ามาทำงานกับสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยในที่สุด โดยทีมชาติชุดแรกที่ได้ทำงานด้วยเต็มตัวคือทีมเยาวชนชุดอายุไม่เกิน 17 ปี โดยทำหน้าที่เป็นนักกายภาพและหมอนวดประจำทีม”
“ต่อมาเมื่อทีมชาติชุดใหญ่มีการเปลี่ยนแปลงทีมงาน จากโค้ชซิโก้ มาเป็น มิโลวาน ราเยวัช จึงมีการฟอร์มทีมงานขึ้นมาใหม่ทั้งหมด ผมเลยได้รับโอกาสให้เข้ามาทำงานในส่วนนี้กับทีมชาติชุดใหญ่นับตั้งแต่ตอนนั้น และก็อยู่ยาวมาจนถึงทุกวันนี้ น่าจะ 9-10 ปีแล้ว”

Kitman ทำอะไรบ้าง นอกจากดูแลชุดแข่ง?
หลายคนอาจเข้าใจว่า Kitman มีหน้าที่แค่จัดเตรียมชุดแข่งให้พร้อมสำหรับการแข่งขัน แต่จริง ๆ แล้ว ขอบเขตของงานนี้กว้างกว่านั้นมาก ไม่ใช่แค่เสื้อผ้า แต่รวมถึงน้ำดื่ม อุปกรณ์ซ้อม และของใช้ส่วนตัวของนักเตะ
“ ในสมาคม Kitman จะอยู่ในส่วนที่เรียกว่าฝ่ายทีมชาติและกิจกรรมฟุตบอล คือนอกจากงาน Kitman ที่ดูแลเรื่องชุดแข่งขันแล้ว Kitman ยังเป็นเบื้องหลังของทุกอย่าง ขอบเขตของงานจะกว้างมาก ทั้งจัดเตรียมน้ำดื่ม ของว่าง อุปกรณ์การซ้อมของทีม ดูแลของใช้ส่วนตัวของนักเตะ ทุกอย่างต้องพร้อมก่อนนักเตะลงสนาม”
“ ทีมชาติในแต่ละชุดจะมีทีมงานในส่วนนี้หลักๆ 2 คน ก็ถือว่าเพียงพออยู่ เพราะในทีมงานของเรา เจ้าหน้าที่ในสมาคมทำงานด้วยกันมานาน แต่ละฝ่ายก็จะเข้ามาช่วยกันอยู่แล้ว ช่างภาพมาช่วยยกน้ำ หมอนวดมาช่วยหิ้วลูกบอล เป็นภาพที่เห็นเป็นเรื่องปกติ”
แรงกดดันในการเตรียมชุดแข่งให้สมบูรณ์แบบ
การแข่งขันระดับชาติ ทุกอย่างต้องพร้อมและไร้ข้อผิดพลาด เรื่องเล็ก ๆ อย่างการสะกดชื่อผิดบนเสื้อ อาจกลายเป็นประเด็นใหญ่ระดับประเทศ Kitman ต้องวางแผนทุกอย่างอย่างละเอียดถี่ถ้วน
“สิ่งที่ Kitman ต้องทำคือ ทันทีที่มีการประกาศรายชื่อออกมา เมื่อทราบโปรแกรมการแข่งขันที่แน่นอนแล้ว ว่าเก็บตัววันไหน แข่งวันไหน เราก็จะประสานงานกันกับทาง แบรนด์ชุดแข่งขัน ที่ถือลิขสิทธิ์ทีมชาติอยู่ ณ เวลานั้นๆ เพื่อรับเสื้อผ้าต่างๆ เช่น ชุดฝึกซ้อม ชุดแข่งขัน ชุดเดินทางและชุดลำลอง เพื่อจัดเป็นเซ็ทให้แต่ละคน”

“ก่อนถึงวันแข่งขัน เพื่อป้องการความผิดพลาดที่อาจจะเกิดขึ้น เมื่อได้รับชุดแข่งขันมาแล้ว ทีมงาน Kitman ก็จะต้องตรวจสอบความถูกต้องอีกที ว่าทุกอย่างครบถ้วนถูกต้องตามที่ตกลงกันไว้หรือไม่ มันเป็นความกดดันที่ต้องทำให้ทุกอย่างสมบูรณ์แบบ”
ในระดับโลกก็เคยมีหลายกรณีเช่นกัน ขนาดนักตะระดับโลกอย่าง เดวิด แบ็คแฮม ในการแข่งขันฟุตบอลถ้วยแชริตี้ ชีลด์ ปี 1997 ระหว่างแมนฯ ยูไนเต็ด พบกับเชลซี ท่ามกลางแฟนๆกว่า 73,000 คน ชื่อของเจ้าตัวถูกสะกดผิด จาก Beckham เป็น Beckam เห็นอีกทีก็ลงไปอยู่ในสนามแล้ว
ในส่วนของทีมชาติไทยเราเองที่ผ่านๆมาก็ยังไม่เคยมีข้อผิดพลาดอะไรที่ใหญ่ๆ จนถึงขนาดที่แก้ไขไม่ได้
ความสำคัญของห้องแต่งตัวก่อนแข่ง
เมื่อถึงวันแข่งขัน ในห้องแต่งตัว เสื้อแข่งจะถูกแขวนไว้อย่างเป็นระเบียบ ตัวเลขเบอร์เสื้อมองเห็นได้ชัดเจน ผ้าขนหนูวางพับไว้เรียบร้อย รองเท้า ถุงเท้าวางไว้คู่กัน ทั้งหมดนี้คือหน้าที่ของ Kitman

“ เรื่องชุดแข่ง สปอนเซอร์เขาให้นักเตะคนนั้นๆ เลย ทัวนาเม้นท์หนึ่ง เขาจะให้กี่ชุด ก็แล้วแต่รายละเอียด เช่น จำนวนเกม หรือมีสลับเหย้าเยือน ต้องใช้สองสีมั้ย หรือถ้าไปต่างประเทศก็จะให้ไปเยอะหน่อย เผื่อเหลือเผื่อขาด ป้องกันความผิดพลาด”
“นักเตะบางคนแจกเสื้อให้แฟนๆ แทบทุกแมตซ์ จนเราต้องแอบเตือน “เฮ้ย ! พรุ่งนี้ยังมีเกมนะ” เพราะเดี๋ยวเสื้อไม่พอขึ้นมา จะยุ่งไปกันใหญ่”
ดูแลภาพลักษณ์ของทีมชาติผ่านการแต่งตัว
นักเตะทีมชาติไม่ได้แค่ใส่ชุดแข่งเท่านั้น แต่ยังต้องมีชุดซ้อม ชุดวอร์ม และเสื้อแจ็คเก็ต ซึ่งทั้งหมดนี้ต้องดูดีเมื่อออกสื่อ
“ไม่ใช่แค่ 90 นาทีในสนาม นักกีฬาเขาไม่ได้มาแข่งอย่างเดียวแล้วจบ การดูแลเรื่องชุดไม่ได้มีแค่ชุดแข่ง ยังมีชุดที่ใช้ในการซ้อม รวมไปถึงชุดวอร์ม ชุดสูท เสื้อแจ็คเก็ต อะไรก็ตามขึ้นอยู่กับว่าสปอนเซอร์เขาอยากให้นักเตะ แต่งตัวแบบไหน”
“เราก็ต้องเข้าไปดูแลกำชับในจุดตรงนั้น เพราะมันเป็นภาพลักษณ์ของทีมชาติไทย เวลาที่สื่อมวลชนมาทำข่าว มาถ่ายภาพ รูปที่ออกมาจะได้สวยงาม เหมาะสมกับการเป็นตัวแทนทีมชาติไทย”
รายละเอียดเล็ก ๆ ที่ต้องใส่ใจ
นอกจากเรื่องชุดแล้ว Kitman ยังต้องจำรายละเอียดเฉพาะตัวของนักเตะแต่ละคน ว่าใครชอบอะไร ไม่ชอบอะไร

“พวกรายละเอียดปลีกย่อยเฉพาะตัวของนักกีฬาแต่ละคนก็สำคัญ ตรงนี้ต้องใส่ใจ ต้องจำให้ได้ ว่าใครชอบอะไร ไม่ชอบอะไร เช่นนักฟุตบอลบางคนเขาจะมีน้ำของเขาเอง ไม่ดื่มน้ำอื่น เราก็จะมีการนัดแนะกันไว้กับเขา ว่าขวดน้ำของเขา เราวางไว้ให้ที่จุดตรงนี้นะ อย่างถ้าเขาเล่นฝั่งขวา ก็จะวางไว้ให้ฝั่งขวาใกล้ๆ เขา”
“รองเท้าแต่ละคนจะเตรียมมาเอง แข่งเสร็จหรือซ้อมเสร็จ ก็จะเก็บกลับกันเองของใครของมัน แต่ถ้าช่วงซ้อมบางคนอาจจะฝากไว้ ไม่ได้เอากลับไป เพราะรุ่งขึ้นก็ต้องมาซ้อมอีก เราก็จะเอามาทำความสะอาดเตรียมไว้ให้”
ความสำคัญของการเตรียมน้ำและโภชนาการ
น้ำดื่มและอาหารสำหรับนักเตะต้องพร้อมเสมอ Kitman ต้องคิดเผื่อทั้งในและนอกสนาม รวมถึงการเดินทางไปต่างประเทศ
อย่าคิดว่างาน Kitman แค่ขนน้ำ ถ้ายังไม่เคยลองแบกน้ำข้ามสนาม

“น้ำดื่มถ้าช่วงวันซ้อม อย่างน้อยที่สุด ก็ต้องใช้ประมาณ 30 แพ็คแล้ว ซึ่งดูเหมือนว่าเยอะ แต่ไม่เยอะเลย เพราะต้องคิดเผื่อรวมของทีมงานเข้าไปด้วย อันนี้เฉพาะน้ำเปล่านะ ทางทีมยังต้องมีเสริมพวกน้ำเกลือแร่ต่างๆ เตรียมไว้ให้นักฟุตบอลด้วย”
“ถ้าในไทยก็จะง่ายหน่อยเพราะมีแบบสำเร็จ แต่เวลาไปต่างประเทศ อาจจะหาซื้อไม่ได้ง่ายๆ ก็จะมีต้องเตรียมผงเกลือแร่ไป แล้วไปชงเองอีกที รวมไปถึงพวก snack ต่างๆ หรือขนมปัง ก็ต้องหาเตรียมไว้ แต่ของพวกนี้ก็ต้องเป็นของที่มีประโยชน์และถูกหลักโภชนาการด้วย”
ทำงานร่วมกับโค้ชที่ใส่ใจรายละเอียด
มาซาทาดะ อิชิอิ หัวหน้าโค้ชทีมชาติไทย เป็นคนที่พิถีพิถันในทุกเรื่อง ตั้งแต่อุปกรณ์ฝึกซ้อมไปจนถึงความสะอาดของห้องพัก

“ถ้าจะให้พูดถึงทีมชาติชุดใหญ่ในปัจจุบันนั้น อิชิอิ เขาเป็นโค้ชที่ใส่ใจรายละเอียดมาก ยกตัวอย่างเช่นตัวมาร์คเกอร์ อิชิอิ จะขอให้สั่งแบบเรียบๆมาใช้ เพราะเขาต้องการให้ลูกบอลผ่านมาคเกอร์ไปได้เลย ไม่กระเด้งขึ้นมา”

“ลูกฟุตบอลที่ใช้ซ้อม ก็ขอใช้เยอะมากๆ 30-40 ลูก คือเขาคิดว่ามีเยอะไว้ก่อน จะได้ไม่ต้องรอกันไม่เสียเวลา ในไทยจะไม่ยากเท่าไร แต่ถ้าไปแข่งต่างประเทศ ข้อจำกัดจะมีมากขึ้น ทั้งเรื่องน้ำหนักกระเป๋า ที่เราต้องมาคำนวณกันให้ดี”

“ลูกฟุตบอลเราต้องเตรียมไปเอง ก็จะต้องเอาลมออกก่อน แล้วค่อยไปสูบกันที่นั่น บางครั้ง อิชิอิ ก็มาช่วยสูบลมเองด้วย ซ้อมเสร็จลูกบอลหาย นับแล้วไม่ครบจำนวน เขายังมาช่วยเดินหาเลย ในงานหลังบ้านนั้น อิชิอิ เขาช่วยทุกอย่างจริงๆ เหมือนที่แฟนบอลเคยเห็นภาพกัน”
สิ่งที่ลืมไม่ได้เลยจุดนี้เขาเน้นมาก ตามวิถีของคนญี่ปุ่นก็คือเรื่องความสะอาด แข่งเสร็จ ซ้อมเสร็จ ขยะต้องเก็บไปทิ้งให้เรียบร้อย ห้องพักต้องสะอาดไม่ให้เสียชื่อพวกเราทีมชาติไทย
ความภูมิใจของ Kitman – เบื้องหลังที่เป็นส่วนหนึ่งของทีม
แม้จะไม่ได้ลงสนามเอง แต่ Kitman ก็รู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของชัยชนะและความพ่ายแพ้ของทีมชาติไทย
“สุดท้ายนี้ความรู้สึกของพวกเราที่เป็น Kitman และเจ้าหน้าที่ทีมทุกคน ที่ทำงานกันอยู่เบื้องหลัง พวกเรารู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของทีม แม้จะไม่ได้ลงไปเล่นเอง แต่ก็ดีใจกับทีมทุกครั้งเมื่อได้รับชัยชนะ ร้องไห้เสียใจไปด้วยกันกับทีม ถ้าไม่ได้ผลการแข่งขันที่ต้องการ”
“พวกเราตั้งใจ ทุ่มเท และทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเต็มที่ เพื่อสนับสนุนให้นักเตะที่กำลังแข่งขันอยู่ในสนาม สร้างผลงานออกมาให้ดีที่สุด ให้สมกับความคาดหวังของแฟนฟุตบอลชาวไทย ที่อยากเห็นทีมชาติไทย ประสบความสำเร็จในทุกๆ รายการที่ลงแข่งขัน”
ครั้งหน้ามาลองสังเกตกันดู เวลาที่ทีมชาติไทยลงแข่ง ลองมองไปที่ถังน้ำแข็ง ว่าพี่โน๊ตยืนอยู่ตรงนั้นจริงหรือไม่?
